วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ปกิณกะธรรม



ปกิณกะธรรม
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง)



๑. หนี้กรรมการฆ่าสัตว์


ให้จำไว้ด้วยว่า สัตว์ทุกประเภทเนื้อแท้จริง ๆ เขาเป็นคน อาศัยคนที่ทำความชั่วทำตัวให้ตกในบาปอกุศล เมื่อตกอบายภูมิคือนรกมาแล้ว ผ่านนรก ผ่านเปรต ผ่านอสุรกายมาแล้วก็มาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นการชำระกรรมหนักขั้นสุดท้าย แต่ว่าไม่ใช่ชีวิตเดียวนะ


ชำระกรรมหนักขั้นสุดท้ายนี้ไม่ใช่ครั้งเดียว เคยฆ่าปลามากี่ตัวต้องเกิดเป็นปลาให้เขาฆ่าเท่านั้นครั้ง หนักใจตรงเกิดเป็นยุงละซี่ จำไม่ได้ถือว่าต้องใช้ชีวิตตามที่ฆ่าเขา พวกทำได้กำไรที่สุดคือพวกเรือตังเก โอ้โฮ วันหนึ่งแกล่อเป็นลำ ๆ เลย ไปเห็นใจหายวาบ ไอ้สัตว์ทุกประเภทก็คือคน ก็รวมความว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันใช่ไหม ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก แล้วก็รักสุข เกลียดทุกข์เหมือนกัน

๒. อายุขัยและวิธีต่ออายุ


การต่ออายุก็ต้องทำให้มันถูก ถ้าทำไม่ถูกแล้วก็เสียเงินเปล่า ถ้าบังเอิญเป็นอายุขัยต่อเท่าไรก็ไม่สำเร็จผล เพราะเชื้อไฟเดิมดับ หมดบุญบารมีที่ทำมา การหมดบุญบารมีนั้นแม้อายุขัยก็ไม่แน่ บางคนเป็นเด็กก็หมดอายุขัย บางคนเป็นหนุ่มเป็นสาว บางคนวัยกลางคนบางคนก็ถึงวัยแก่ อายุขัยนี่ไม่แน่นอนนัก คำว่าอายุขัยนี่หมายความว่า ก่อนที่จะเกิดกฎของกรรมดีหรือกรรมชั่ว กำหนดชีวิตให้มาเท่าไร ถ้ากำหนดชีวิตมา ๒๐ ปี ก็ต้องแค่ ๒๐ ปี ๑๐ ปี ก็ต้อง ๑๐ ปี ๓ วันก็ต้อง ๓ วัน นี่เป็นอายุขัย ต่อไม่ได้ ถ้าตายก่อนนั้นเขาเรียกอุปฆาตกรรมหรือว่าอกาลมรณะ อย่างนี้ต่อได้ และถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย


จะต่ออายุแบบนี้ก็ต่อมันทุกวันก็หมด เรื่องกัน วิธีต่อทุกวันก็หมายความว่าให้ทุกท่านมีความเคารพในพระรัตนตรัยคือพระ พุทธเจ้า พระธรรมและพระอริยสงฆ์อย่างจริงจังและต้องเว้นจากกรรมที่เป็นปาณาติบาตถ้ามี เวลาเดินผ่านไปมีใครเขาหาปลาหาเต่าที่เขาจะฆ่ามันให้ตาย ก็ซื้อพอกำลังที่เราจะซื้อได้แล้วก็นำไปปล่อยในที่ปลอดภัย ไม่ใช่ปล่อยในหม้อข้าวหม้อแกงของเรานะไปปล่อยในสถานที่ที่เขาจะมีความสุขใน แม่น้ำก็ได้ในหนองคลองบึงก็ได้ ปล่อยให้เขารอดชีวิต

๓. วิธีต่ออายุป้องกันอุปฆาตกรรม


ตามวิธีโบราณจารย์ ท่านสอนไว้อย่างนี้นะว่า วิธีต่ออายุใหญ่ คือถึงปีหนึ่งถ้าเป็นวันเกิดหรือเป็นวันสำคัญของเรา วันไหนก็ได้ ทำกับข้าวทำอาหารพิเศษตามที่เราพอใจเท่าที่ทุนจะพึงมี จัดการใส่บาตรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แล้วก็ถ้าหากว่ามีเงิน ก็สร้างพระพุทธรูปสักองค์


พระพุทธรูปนี้จะเป็นพระดินเหนียวก็ได้ พระปูนซีเมนต์ก็ได้ เป็นปูนพลาสเตอร์ก็ได้หรือพระโลหะก็ได้ไม่จำกัด เพราะเป็นรูปพระแล้วมีอานิสงส์เสมอกัน แต่ต้องมีหน้าตักไม่น้อยกว่า ๔ นิ้ว ถวายไว้เป็นสมบัติของสงฆ์


หลังจากนั้นก็เอาสัตว์ที่จะพึงถูกฆ่าตาย อย่างที่เขานำเอามาขายเพื่อแกงหรือที่เขาทอดแหสุ่มปลาได้ ถ้ามีสตางค์ก็ไปซื้อเขาสักตัวสองตัวตามกำลังแล้วปล่อยไป และก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรและเทวดาที่ปกปักรักษาชีวิตเรา


ท่านบอกว่าถ้าทำอย่างนี้เป็นนิจ คำว่าอุปฆาตกรรม คือกรรมที่เข้ามาลิดรอนก่อนอายุขัยก็ดี และอกาลมรณะการที่จะตายก่อนอายุขัยก็ดี จะไม่มีสำหรับผู้ที่ทำแบบนี้ แต่ทว่าถ้ากรรมอย่างนี้เข้ามาถึง แค่ป่วยไม่มากก็เป็นของธรรมดา

๔. วิธีช่วยคนป่วยใกล้ตาย


การช่วยคนป่วยหนักจริง ๆ อย่าปล่อยให้หนักจนกระทั่งไม่มีความรู้สึกตอนที่สติยังดีอยู่ให้นิมนต์พระไป สวดสักครั้งหนึ่ง ไม่ใช่สวดพระอภิธรรมแต่เป็นการสวดพระปริตร วงสายสิญจน์ล้อมรอบ ถ้าผู้ป่วยจะต้องตายเพราะสิ้นอายุขัยก็ต้องตายแน่ สายสิญจน์ป้องกันไม่ได้ แต่ว่าถ้าท่านผู้นั้นจะตายอย่าลืมว่าคนป่วยก็เหมือนคนที่ตกน้ำ ว่ายน้ำไม่เป็น เราส่งอะไรให้เกาะเขาก็จะเกาะส่งไม้ให้เกาะเธอก็เกาะ ส่งสุนัขเน่าให้เกาะเธอก็เกาะเพราะต้องการมีชีวิตอยู่ก็เช่นกันถ้าคนป่วย เห็นพระสวดพระปริตร ก่อนสวดมีการสมาทานศีลจิตของคนป่วยในตอนนั้นก็จะรับสมาทานศีลด้วยสติ สัมปชัญญะที่สมบูรณ์ทำให้เป็นคนที่มีศีล เวลาที่มีการสวดพระปริตรจิตก็จะฟังพระสวดด้วยความเคารพจิตจะยึดอยู่กับพระ หลังจากพระกลับแล้วจิตจะจับอารมณ์นั้นตลอด ในขณะป่วยไม่มีโอกาสทำลายศีล เพราะกำลังป่วยไม่สามารถจะไปฆ่าใครหรือไปลักขโมยใคร ถือว่าเป็นคนป่วยที่มีศีลบริสุทธิ์ ถ้ามีการถวายทานด้วยไม่ว่าทานนั้นจะเป็นธูปเทียน ดอกไม้ ปัจจัยหรือโภชนาหารก็ตามถือว่าเป็นการถวายทานแก่พระสงฆ์ กำลังของทานจะช่วยคนป่วยได้อีกแรงหนึ่ง


อีกประการหนึ่ง ด้านอนุสสติ ถ้ามีพระพุทธรูปด้วย จิตของเธอจะจับพระพุทธรูปเป็นพุทธานุสสติ จำเสียงสวดมนต์เป็นธรรมานุสสติ การนึกถึงพระสงฆ์ที่สวดก็เป็นสังฆานุสสติ ถ้าเป็นอายุขัยที่จะพึงตาย บาปกรรมใด ๆ ที่ทำมาแล้วในกาลก่อนจะไม่มีโอกาสให้ผลในเวลานั้นเหลือแต่บุญอย่างเดียว ที่จะประคับประคองคนนั้นให้ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก หรือไปนิพพาน

๕. อานิสงส์การถวายสังฆทาน


การถวายสังฆทาน ๑ ครั้งในชีวิตและถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์มีศรัทธาแท้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลของสังฆทานนี้จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวายเกิดไปทุกชาติขึ้นชื่อว่าความ ยากจนเข็ญใจไม่มี ในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขัดสนคนที่ถวายสังฆทานแล้วจะไม่ไป เกิดที่นั่น ผลที่ให้ไปไกลมาก กล่าวว่าแม้แต่พระพุทธญาณเองก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวายสังฆทาน


คำว่าไม่เห็นที่สุดของการถวายสังฆทาน หมายความว่าแม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทาน บำเพ็ญบารมีแล้วเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม จนกระทั่งเข้าพระนิพพาน อานิสงส์นั้นก็ยังไม่หมด นี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทาน


ทีนี้การถวายทานแก่พระ มีผลไม่เสมอกันอยู่อย่างหนึ่ง คือหมายความว่า ถวายทานแก่พระที่มีจิตกำลังฟุ้งซ่านไปด้วยอำนาจของนิวรณ์ ๕ ประการอย่างนี้ เราถวายกี่หมื่นกี่แสนอานิสงส์ก็ไม่มาก จะถวายสักเท่าไรอานิสงส์ได้แต่ว่าไม่มาก


ถ้าหากว่าถวายแก่ท่านผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าหากเข้าถึงจิตบริสุทธิ์ เรื่องบริสุทธิ์แค่ไหนก็ช่าง อย่างน้อยที่สุดก็มี ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิบางท่านก็เข้าถึงฌานสมาบัติ บางท่านก็เป็นพระอริยเจ้าก็เข้าถึงผลสมาบัติเป็นต้น อย่างนี้มีผลมาก

๖. วิหารทาน (การก่อสร้างถาวรวัตถุ)


พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าการถวายทานกับพระองค์เอง ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง ถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้งมีผลไม่เท่ากับถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้


แต่มีบางท่านบอกว่า พระนี่ไม่น่าจะทำการก่อสร้าง ควรจะสอนคนให้เป็นพระหรือสอนให้เป็นคน สอนคนให้เป็นคนน่ะไม่ต้องไปสอนเขาเขาเป็นคนกันอยู่แล้ว ทีนี้สอนคนให้เป็นมนุษย์น่ะสอนยาก สอนคนให้เป็นพระนี่สอนยาก ในเมื่อญาติโยมพุทธบริษัทมีใจเป็นพระขึ้นมาทำไมจะต้องลิดรอนกำลังใจกัน เพราะการก่อสร้างเป็นความดีของญาติโยม การทำบุญทุกอย่างเป็นเรื่องของพระ ถ้าคนจิตใจไม่ถึงพระนี่ทำบุญไม่ได้เลย

๗. วัตถุมงคล


การแจกพระบางท่านอาจจะคิดว่าไม่มีผลหรือทำให้คนติดวัตถุ ถ้าถือว่าเป็นวัตถุก็น่าติแต่ถ้าถือว่าเป็นพระก็ต้องคิด ที่พ่อแจกพ่อไม่เคยโฆษณาว่าพระที่พ่อแจกไปมีอานุภาพอะไรมีความต้องการอยู่ อย่างเดียวคือ ให้คนมีความรู้สึกว่ามีพระอยู่ที่ตัว อารมณ์ที่รู้สึกว่ามีพระอยู่กับตัวอารมณ์ย่อมเป็นกุศล กุศลนิดหน่อยถ้ามีความรู้สึกบ่อย ๆ สามารถทำให้คนที่ตายไปแล้วจิตนึกถึงพระอยู่เสมอ อย่างเบาก็เกิดเป็นเทวดา อย่างกลางก็เกิดเป็นพรหม อย่างสูงก็ไปนิพพาน


แบบพ่อค้าที่หวังกำไรน้อย แต่ได้บ่อย ๆ ก็รวยได้ฉันนั้น แต่ทว่าความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นเป็นอย่างไรนั้น พ่อไม่คำนึง คำนึงอย่างเดียว คือสงเคราะห์คนบารมีอ่อน คนที่มีบารมีเป็นปรมัตถบารมี พ่อไม่ห่วง พวกนั้นท่านไม่ต้องเกาะราวหรือไม้เท้าก็เดินไหว สำหรับคนที่บารมีอ่อน ยังต้องเกาะราวและไม้เท้า จึงต้องอาศัยวัตถุ คือพระพุทธรูปสงเคราะห์

๘. การฟังธรรมในสมัยพุทธกาล


คนสมัยนั้นท่านฟังเทศน์ครั้งเดียวก็จบกิจ ท่านไม่ได้ฟังเฉย ๆ หมายความว่า ฟังด้วยความตั้งใจ การตั้งใจจำถ้อยคำที่พระพุทธเจ้าเทศน์ตัวนี้เป็นสมาธิ และเมื่อจำแล้วก็พยายามคิดตามไปด้วยตัวนี้เป็นปัญญา


ฉะนั้น เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ คนทุกคนพร้อมไปด้วยศีลหมายความว่าเวลานั้นใจเราบริสุทธิ์ ปราศจากปัญจเวร ๕ ประการ และมีความตั้งใจฟังคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา และคิดตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์โสภาคด้วยปัญญา เมื่อเทศน์จบ ใจท่านก็จบจากกิจของพระพุทธศาสนา นั่นคือเป็นพระอรหันต์ หากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านทำได้อย่างนั้นก็เชื่อว่าจะมีผลเช่นเดียว กัน

------------------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ทานบารมี




ทานบารมี


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้มาเริ่มเรื่องบารมีต้นกัน บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทราบแล้วนี่ว่าบารมีคืออะไร ขอย้อนกันสักหน่อยดีไหม…เผื่อว่าจะลืมไป

บารมีก็คือกำลังใจยัง ไงล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัท อย่าลืมว่าความดีในพระพุทธศาสนานี่ขึ้นอยู่กับกำลังใจอย่างเดียว เพราะท่านทั้งหลายยังคงจำได้ว่าคนเราถ้าตายไปแล้ว ที่เขาบอกว่าไปตกนรก ไปขึ้นสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพาน เขาไม่ได้ไปกันอย่างอื่น เขาเอาใจไปกัน เขาไปกันด้วยกำลังใจ

ที่นี้สำหรับบารมีที่เราจะสร้างขึ้นไว้ เราจะสร้างเพื่อไปไหนล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ไปสวรรค์ ไปพรหม ไปนิพพาน ไปส่งเดชตามที่เราจะพึงไป ถ้าเราสร้างควรมดีไว้ เราก็ไปในส่วนดี คำว่า เรา ในที่นี้คือจิต ไม่ใช่กาย

องค์สมเด็จพระทศพลทรงกล่าวว่า บารมีคือกำลังใจ นี่บรรดาท่านทั้งหลายเห็นความโง่ของอาตมาไหม…? ท่านทั้งหลายจงอย่าคิดว่าคนที่เป็นครูท่านอยู่ในเวลานี้เป็นคนฉลาด แต่ที่แท้แล้วองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถท่านบอกว่า จอมโง่ โง่ เพราะอะไร โง่เพราะไม่รู้จักคำว่า บารมีมันคืออะไร….? เหมือนกับคนที่ขี่ควาย คนที่ขี่ช้าง ไม่รู้จักว่า ควายเป็นยังไง ช้างเป็นยังไง ขี่ได้ใช้งานได้ แต่ไม่รู้จักชื่อ อันนี้ได้แก่อาตมาเอง บรรดาท่านพุทธบริษัท

ทานบารมี เป็นบารมีต้น ที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าเรายังไม่ไปนิพพานจะเกิดเป็นมนุษย์ก็ยังได้ จะเกิดเป็นเทวดาก็ได้ จะเกิดเป็นพรหมก็ได้ หรือจะไปนิพพานก็ได้ ตามใจบรรดาท่านพุทธบริษัทให้เลือกเอา ประเดี๋ยวจะมาหาว่ามานั่งเกณฑ์กันเข้าไปนิพพาน ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าไปได้ก็ไป ถ้าไปไม่ได้ก็อย่าเพิ่งไป จะไปหรือไม่ไปก็ตามใจบรรดาท่านทั้งหลาย

เรามาดู ทานบารมี กันก่อน ว่าที่องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าทานบารมีเต็มแล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงรับรองว่ามีหวังไปนิพพานได้

คราวนี้เราก็มานั่งพิจารณาถึงคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตร ถึงรากเหง้าของกิเลสอันถือว่าเป็นแม่บทของกิเลสบรรดาท่านพุทธบริษัท หรือว่าเป็นสีหลักผสมกับสีอื่นๆ เขาเรียกว่าว่า แม่สี ทีนี้แม่ของกิเลสก็คือรากเหง้าของกิเลสนั่นเอง หรือจะเรียกว่า จอมกิเลส ก็ได้
จอมบงการของกิเลสก็ได้แก่กิเลส ๓ ประการ คือ โลภะ ความโลภ โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง

สำหรับโลภะ ความโลภ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ทำลายด้วยการให้ทาน เพราะการให้ทานเป็นการสงเคราะห์ เป็นการให้ ส่วนโลภเป็นตัวดึงเข้ามานี่เป็นศัตรูกัน
ที่นี้ว่ากันถึงกิเลสทั้ง ๓ ประการ มันก็เหมือนกับโต๊ะ ๓ ขา โต๊ะถ้ามีอยู่ ๓ ขา หากเราทำลายเสียขาใดขาหนึ่งได้ ที่เหลืออีก ๒ ขามันก็ทรงตัวไม่ไหว มันก็ต้องสลายไปด้วย

ที่นี้เรามาดูการให้ทานที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดากล่าวว่า ทำลายความโลภ การให้ทานนี้น่ากลัวว่าจะต้องแบ่งเป็นหลายระดับด้วยกัน มิฉะนั้นการให้ทานก็จะไม่สมบูรณ์แบบ

การให้ทานบรรดาท่านพุทธบริษัทเป็นปัจจัยใน กามาวจรสวรรค์ องค์สมเด็จพระพิชิตมารกล่าวว่า การให้ทานนี้จัดเป็น ๓ ระดับด้วยกัน นี่แบบหนึ่งนะ อันที่จริงมันมีหลายแบบทาน 3 ระดับ คือ

๑. ทาสทาน เวลาที่เราจะให้ทาน เราก็ให้ของเลวกว่าของที่เรากินเราใช้
๒. สหายทาน เวลาที่เราให้เราก็ให้ของเสมอกับที่เรากินเราใช้
๓. สามีทาน เวลาที่เราจะให้เราให้ของดีกว่าที่เรากินเราใช้

นี่เป็นเครื่องวัดกำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทเราวัดใจของเราเองว่า เวลาที่เราจะให้ทานน่ะ การให้ทานนี้ต้องให้เพื่อการสงเคราะห์อย่างเดียว ไม่ให้เพื่อหวังผลตอบแทน

นี่อย่าลืมนะบรรดาท่านพุทธบริษัทหรือท่านพระโยคาจรทั้งหลายผู้ประกอบความดี เพื่อความเป็นพระ คือเป็นผู้ประเสริฐ ไม่ใช่ว่าเราให้ทานแล้วก็มานั่งนึกทีหลังว่าเจ้าคนนี้เราให้ไปแล้ว นางคนนั้นเราให้ไปแล้ว แต่ให้ไปแล้วมันไม่รู้จักบุญคุณ ไม่รู้จักตอบแทนเราสักที ถ้าท่านทั้งหลายมีเจตนาในการให้ทานแบบนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์กล่าวว่าเป็นการให้ทานที่มีกำลังใจยังไม่เต็ม บารมีส่วนนี้ยังมีกำลังอ่อนอยู่ แล้วก็เป็นบารมีที่ดึงลงอบายภูมิได้ง่าย ๆ

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าเราให้ทานแล้วหวังผลในการตอบแทนในการตอบสนอง ถ้าเขาไม่ตอบสนองเรา เราก็เกิดความกลุ้มใจ ความไม่สบายใจมันเกิด ถ้าความไม่สบายใจมันเกิด จิตมันก็มัวหมอง พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า

“จิตเต สังกิลิฎเฐ ทุคคติ ปาฏิกังขา”

“ก่อนที่เราจะตาย ถ้าจิตของเราเศร้าหมองละก็มีหวัง ทุคติเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉาน” เกิดเป็นคนก็หาความสุขไม่ได้ แบบนั้นเขาไม่ชื่อว่าเป็นการให้ถือว่าเป็นการยืมไป

ถ้าเราให้กันด้วยความเต็มใจ เราให้จริง ๆ เพื่อเป็นการสงเคราะห์ ทานตัวนี้ต้องมีจิตเต็มเปี่ยมไปด้วยการสงเคราะห์ปรารถนาให้เขามีความสุขจาก วัตถุที่เราให้ หรือว่ากำลังใจที่เราให้ ถ้าเราให้ไปด้วยการสงเคราะห์จริง ๆ แต่ทว่าเวลาให้นะบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ถ้าเขามาขอเรา เรายังต้องแบ่งว่า ไอ้นี่ยังใช้ได้ไม่ให้ นี่ดีเกินไปเรายังไม่ได้ใช้ เรายังไม่ให้ ให้เฉพาะของที่เราไม่ต้องการจะกินไม่ต้องการจะใช้ของเลว ๆ เราจึงจะให้ ถ้าถามว่าการให้แบบนี้ดีหรือไม่ดีอาตมาก็ตอบว่าดี เพราะเกิดชาติหน้าเราก็เป็นมหาเศรษฐีได้ อย่างอาฬวีเศรษฐี เป็นต้น

อาฬวีเศรษฐี เกิดมาในสมัยองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ อาฬวีเศรษฐีคนนี้ใช้ของดีไม่ได้ ผ้าผ่อนท่อนสไบต้องเก่าต้องช้ำเสียก่อนจึงจะใช้ได้ ของที่จะกินเข้าไปถ้าเป็นของดี ๆ เช่น ข้าวมธุปายาส แกก็กินไม่ได้ ข้าวเต็มเม็ดที่เรียกกันว่าว่าข้าว ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์หรือ ๙๕ เปอร์เซ็นต์ แกก็กินไม่ได้ ต้องกินข้าวหักหรือปลายข้าว แต่ว่าแกก็เป็นมหาเศรษฐีได้

องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสแก่พระอานนท์ว่า “อา นันทะ ดูก่อน อานนท์ อาฬวีเศรษฐีเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมาได้ก็เพราะอาศัยการให้ทานเป็นสำคัญ แต่ว่าการให้ทานของอาฬวีเศรษฐีนั้นให้ทานเป็นทาสทาน คือของดีไม่ให้ ให้แต่ของเลว” แต่ก็ยังมีผลบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน เกิดมาเป็นคนยังเป็นมหาเศรษฐีได้ ก็เบ่งกับยาจกได้เหมือนกัน ในการให้ทานประเภทนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์ถือว่าบารมียังต่ำ นับเป็นบารมีต้น

องค์สมเด็จพระทศพลทรงเปรียบเทียบต่อไปว่า ถ้าเราให้ทานเป็นสหายทาน ให้เพื่อเป็นการสงเคราะห์ เวลาที่เราจะให้ ให้ของดีของกินของใช้สม่ำเสมอกับที่เรากินเราใช้และก็ให้ด้วยความเต็มใจ ด้วยการสงเคราะห์ ไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งหมด อย่างนี้องค์สมเด็จพระบรมสุคตกล่าวว่าทานของท่านจัดเป็นอุปบารมี มีความแน่นแล้ว อุป แปลว่าเข้าไป ใกล้ มั่น แสดงว่าเดินเข้าไปหาพระนิพพาน ไม่ถอยหลัง แล้ว เดินใกล้เข้าไปทุกที ๆ ไม่ถอยหลัง

ต่อไปถ้ากำลังใจของเรานี้ดีขึ้นไปกว่านั้น เวลาที่เราจะให้ทานก็ต้องดู ไอ้ของนี่มันช้ำแล้วให้แล้วมันไม่ดี เขาจะตำหนิเอา หรือประการหนึ่ง ไหน ๆ เราจะให้ก็ควรจะให้ของดี เพราะว่าคนทุกคนต้องการของดี ส่วนของบริโภคก็เหมือนกัน ปกติเรากินน้ำพริกผักต้มได้ แต่เวลาเราจะทำบุญหรือเราจะให้ทาน ต้องให้ของดี ๆ ทำบุญด้วยของดี ๆ อย่างนี้องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาทรงตรัสว่า เป็น ปรมัตถบารมี ในด้านของวัตถุหรือกำลังใจ อย่าลืมว่าวัตถุที่มันจะไปได้ต้องอาศัยกำลังใจบรรดาท่านพุทธบริษัท

การให้ทานอย่างนี้เป็นการเปรียบเทียบง่าย ๆ ให้บรรดาพุทธบริษัทเข้าใจว่า มันอาศัยกำลังใจอย่างเดียวมันจะเต็มหรือไม่เต็ม ดูกำลังใจของเรา วัดที่วัตถุที่เราให้แล้วก็ดูกำลังใจของเราว่าเรามีความห่วงใยในทานของเรา ไหม…ให้แล้วเราหวังผลตอบแทนบ้างหรือเปล่าบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเราไม่หวังผลตอบแทน ให้ด้วยการตัดขาดและให้ของดีได้อย่างนี้เป็นอันว่าใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท ทั้งหลายมีกำลังใจเต็มตามสมควร นี่มีความเต็มพอใช้ได้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย แต่ยังก่อน….นี่มันเต็มกันแค่วัตถุ

แต่ทานที่มีความสำคัญยิ่งไปกว่านี้อีกทานหนึ่ง นั่นคือทานที่ไม่ต้องลงทุน ทานจุดนี้เป็นทานอะไรบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย คือ อภัยทาน ทานตัวนี้มีความสำคัญมากแต่ก็ต้องบวกกับวัตถุเหมือนกัน วัตถุทานเราต้องให้แต่ว่ากำลังใจในการให้อภัยก็ควรจะมี เพราะทานประเภทนี้นอกจากว่าจะเป็นทานที่มีกำลังสูงส่งและไม่ต้องลงทุนแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบอกว่า บวกด้วยอำนาจเมตตาบารมีนี่เป็นอันว่าการให้ทานทั้งทีนะบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้ากำลังใจในการให้ทานของเราเต็ม ท่านทั้งหลายจะอย่าพึงคิดว่าเราจะมีผลแต่เพียงทานบารมีเท่านั้น การให้ทานคราวเดียวบรรดาท่านพุทธบริษัท บารมี ๑๐ ประการ ล้อมรอบเข้ามาครบหมด นี่จะอธิบายให้ฟังเพื่อความเข้าใจง่ายของบรรดาท่านพุทธบริษัท คือว่า

ก่อนที่เราจะให้ทานเราก็ลองคิดดูว่า เราให้เพื่อการสงเคราะห์ไม่ใช่ให้ทานเพื่อโก้ และก็ไม่ใช่ให้ทานเพื่อหวังผลตอบแทน เป็นการตัดจริง ๆ การให้ทานของเราจุดนี้เราต้องการตัดกิเลส คือ โลภะ ความโลภ เพราะความโลภเป็นตัวดึงเข้า ทานเป็นตัวขยายออก นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทจำตัวนี้ไว้ให้ดี

ไอ้การดึงเข้านี่มันเป็นการก่อสร้างศัตรูหนัก แต่ว่าการขยายออกนี่เป็นการสร้างมิตรอย่างหนัก คนให้ทานมีประโยชน์มาก แต่ทว่าอย่าไปหวังผล เพราะคนรับทานแล้วแต่จิตเป็นทรชน คือทรยศต่อบุคคลผู้ให้ก็มีอยู่ เช่นองค์สมเด็จพระบรมครูให้ พระเทวทัต ให้ทุกอย่าง ให้ทั้งวัตถุให้ทั้งกำลังใจแต่ว่าคนจังไรประเภทนั้นไม่รู้สึกในคุณของพระพุทธเจ้า

การให้ทานที่เราอย่าไปสนใจกับการตอบสนองการรู้คุณ เราต้องการอย่างเดียวคือตัดกิเลสได้แก่โลภะ ความโลภ

อาตมาได้บอกกับบรรดาท่านพุทธบริษัทไว้ในตอนต้นแล้วว่า การให้ทานถ้าเราตัดความโลภได้ตัวเดียวความโกรธกับความหลงอีกสองตัวมันก็พัง ไปด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่พังหมดแต่ทว่ากำลังของมันมีน้อยเกินไป จะเหลือแต่เพียงอนุสัยเท่านั้น มันเป็นยังไงล่ะบรรดาทางพุทธบริษัทถึงเป็นแบบนั้นได้ จะอธิบายให้ฟังโดยย่อจะได้ไปยืดยาดนัก

การให้ทานเพื่อหวังในการสงเคราะห์ หวังตัดความโลภจากจิต อันนี้จึงจะเป็นกำลังใจตามที่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสร์มีความประสงค์

ที่เรียกว่า บารมี หรือทานบารมีนี้ ในเมื่อเราให้ทานเพราะอาศัยมีความรัก มีความสงสารเป็นปัจจัย ถ้าเราเกลียดแล้วเราก็ให้ไม่ได้เหมือนกัน เพราะเรายังไม่ใช่พระอรหันต์นี่ เวลานี้เรายังบำเพ็ญบารมีอยู่จะไปเอากำลังเท่าองค์สมเด็จพระบรมครูหรือว่า กำลังใจเท่าพระอรหันต์นั้นเป็นไปไม่ได้

ทีนี้ก็ลองคิดกันดูว่า ถ้าเราเกลียดเราจะให้ได้ไหม….? ไม่ได้แน่บรรดาท่านพุทธบริษัท อย่าว่าแต่สละวัตถุเลยแม้แต่กำลังใจที่คิดจะให้มันก็ไม่มี ทีนี้การให้ทานเราต้องบอกอะไรเข้ามาบ้าง ก่อนจะให้หวังในการสงเคราะห์ หวังในการเกื้อกูล อาศัยความรัก ความสงสาร เป็นสำคัญ

ความรักความสงสารเป็นอะไรบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เป็น เมตตาบารมี เห็นหรือยัง…นี่เราจะให้ทานแล้วเมตตามันเข้ามาค้ำจุนอยู่ เข้ามาประคับประคอง นี่เป็นสองบารมีเข้าควบกันแล้ว

ทีนี้คนในเมื่อเมตตาบารมีปรากฏ มีเมตตาแล้วอะไรมันตามมาอีกบรรดาท่านพุทธบริษัท ตัวเมตตาเกิดขึ้นแล้วศีลมันก็ปรากฏ เพราะศีลจะมีกับใครได้นั้นต้องมีเมตตาเป็นพื้นฐาน การให้ทานเรามีทั้งเมตตาทั้งกรุณาทั้ง ๒ ประการ คือรักและสงสารในเขา ศีลก็วิ่งเข้ามาช่วยประคับประคองในทานเข้าไปอีกจุดหนึ่ง

การให้ทานของเรานี้นี่บรรดาท่านพุทธบริษัท เราต้องการตัดโลภะ ความโลภ เราหวังพระนิพพานเป็นปัจจัย เราไม่ได้หวังอะไรเป็นเครื่องตอบแทน จิตมันก็บริสุทธิ์ การให้ทานตัวนี้ไม่ใช่ว่าผู้ชายให้ทานแก่สตรี สตรีให้ทานแก่ชายเพื่อหวังในการร่วมรักกันในกามารมณ์นะ ทั้งนี้เพราะอะไรเพราะว่าเราให้เพื่อการสงเคราะห์ ไม่ใช่ซื้อความรักด้วยการให้ทานในวัตถุ

คราวนี้ เนกขัมมบารมี คือการถือบวชมันก็ปรากฏ เนกขัมมะ ที่เขาถือกันได้ในชั้นต้นก็โดยตัดนิวรณ์ ๕ ประการ คือ

๑. ความรัก ด้วยอำนาจกามารมณ์
๒. ความโกรธ เรามีเมตตาเสียแล้ว จะโกรธยังไงล่ะ
๓. ตัวง่วง เราไม่โกรธแล้วตั้งใจให้ทานมันจะง่วงตรงไหน
๔. อารมณ์จิตฟุ้งซ่าน เราตั้งใจไว้แล้วว่าเราทั้งรักทั้งสงสาร จิตมันตรงแน่ว มันจะฟุ้งซ่านไปไหน
๕. ความสงสัย (ใน เนกขัมมะ) มันก็ไม่ปรากฏ เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระบรมสุคตว่า การให้ทานเป็นการตัดความโลภ เป็นปัจจัยให้เข้าถึงพระนิพพาน กำลังใจเรามันเต็มเสียแล้ว ถ้าเราสงสัยเราจะให้ยังไง นี่เราไม่สงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตร

เห็นไหมบรรดาท่านพุทธบริษัท การให้ทานคราวเดียวเนกขัมมบารมีวิ่งเข้ามาชนอีก เป็น ๔ บารมีแล้ว

อีกบารมีหนึ่งที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบอกว่า ปัญญาบารมี ลองมาคิดพิจารณากันดูให้ดีว่า คนโง่น่ะจะมีใครไห้ทานไหม…คนโง่เขาไม่ให้ทานหรอกบรรดาท่านพุทธบริษัท เขาเสียดายของ เพราะถือว่าของของเขาหามาได้โดยยาก ไม่มีใครเขาให้ ไม่มีกินไม่มีใช้ก็ช่าง ตัวอยากไม่หาทำไม

แต่คนที่จะให้ทานได้ต้องอาศัยเป็นคนมีปัญญา เอาปัญญาเข้าไปพิจารณาในตอนต้น เอาแบบต่ำ ๆ นะบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน เรียกว่าต่ำมากที่สุด นั่นก็คือเรามาพิจารณาว่าการให้ทานเป็นการสงเคราะห์ เป็นการผูกมิตรทำจิตใจให้มีความสุข เราไปทางไหนก็ตามถ้าเรามีเพื่อนมาก มีคนเป็นที่รักมาก เราก็มีความสุข เพราะอันตรายมันมีน้อย กล่าวคือช่วยป้องกันอันตรายได้ ทำใจให้เป็นสุข ให้มีความเป็นอยู่เป็นสุข เพราะการให้ทานก็ด้วยอำนาจเมตตาบารมีเป็นผู้นำ

การให้ทานนี่ต้องมีเมตตาบารมีเป็นผู้นำ ถ้าขาดเมตตาบารมีนำแล้ว การให้ทานมีผลไม่ได้ ในเมื่อเรามีเมตตาจิตคนที่คิดประทุษร้ายก็น้อยเต็มที เว้นไว้แต่ผู้ร้ายขององค์สมเด็จพระชินสีห์คือ พระเทวทัต หรือเผ่าพันธ์ของเขาเท่านั้น นี่ปล่อยเขาเขาไปบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน
ทีนี้มีปัญญาสูงไปกว่านั้น เขาก็คิดว่า การให้ทานนี่เป็นการทำลายความโลภ เป็นการทำลายการเกิดที่จะมาสู่คนให้รับผลความทุกข์ต่อไป นี่คนที่มีปัญญาใหญ่เขาก็จะพิจารณาอย่างนี้ ฉะนั้นการให้ทานสักทีก็ต้องอาศัยปัญญาเป็นเครื่องประกอบ เอาละซีบรรดาท่านพุทธบริษัท ปัญญาบารมีก็มากับทานอีกแล้ว

อีกบารมีมีหนึ่งที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบอกคือ วิริยบารมี วิริยะ แปลว่า ความเพียร คนที่จะให้ทานในระยะแรกๆ ที่มีบารมียังอ่อน ถ้าไม่มีความเพียรเข้าไปตัด มัจฉริยะ ความ ตระหนี่ หรือความขี้เหนียว ความหวงแหนในทรัพย์สินของตน อันนี้อาตมารับรองผลเลย ถ้าไม่มีความเพียรตัดไอ้ตัวนี้ให้ทานไม่ได้ ต้องใช้ความเพียรเข้าไปตัด มัจฉริยะ คือความตระหนี่เหนียวแน่นให้สลายตัวไป ไม่ยังงั้นทำไม่ได้หรอกบรรดาท่านพุทธบริษัท

อีกประการหนึ่งคนที่ตั้งใจจะให้ทาน หวังผลในทานบารมี ถ้าเราจะให้ทานด้วยวัตถุเรา ก็ต้องเพียรหาวัตถุเข้ามา นี่วิริยบารมีก็ตามมา ถ้าหากว่าเราจะให้ทานเป็นอภัยทานคือกำลังใจไม่ประกาศเป็นศัตรูกับใคร เราก็ต้องมีความเพียรตัดความโกรธ ตัดความพยาบาท นี่เป็นอันว่าการให้ทานครั้งเดียว วิริยบารมีวิ่งตามเข้ามาอีกแล้ว

ต่อไปบารมีที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า ขันติ คือ ความอดทน ตัวนี้เป็นตัวสำคัญ วัตถุทานที่เราจะได้มาบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เราต้องหามาด้วยความเหนื่อยยาก เราหามาด้วยความลำบากอย่างยิ่ง กว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงจะมีเงินจะมีของ ต้องเหน็ดเหนื่อยด้วยประการทั้งปวง ถ้าไม่อดทนในการหาละก็เราก็ไม่มีวัตถุในการให้ทาน นี่เรื่องของทาน ขันติบารมีวิ่งเข้ามาอีกชั้นหนึ่ง

ตานี้ขันติ ความอดทนที่ต้องเสียทรัพย์สินที่หามาได้โดยยาก นี่มันมีความสำคัญมากบรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ขาดขันติบารมีแล้วหยิบอะไรไม่ได้ คิดว่าแหม…ของสิ่งนี้ซื้อมาแพง กว่าเราจะมีเงินซื้อก็มีแต่ความลำบากมีความยุ่งยากด้วยประการทั้งปวง จะให้เขาทำไมหนอ….ใจมันก็ไม่สบาย ตอนนี้ก็ต้องเอาขันติเข้าข่มใจ อดทนเข้าไว้ ว่าเราอดเปรี้ยวเพื่อกินหวาน เราให้วัตถุทานเพื่อหวังพระนิพพานซึ่งเป็นที่มีความสุขในเบื้องหน้าหรือถ้า จะกล่าวกันโดยย่อก็คิดว่าเราให้ทานนี่หวังผลในความร่ำรวยอาฬวีเศรษฐี หรือ ทานัง สัคคโส ปาณัง เรา ให้ทานนี่เพื่อต้องการไปสวรรค์เป็นเทวดา เป็นนางฟ้าสบาย ๆ อย่างนี้กำลังใจต้องมีความอดทน ต้องมีปัญญาเข้ามาปลอบ มีวิริยะความเพียรเข้ามาข่มขี่ ตัดมัจฉริยะความตระหนี่ให้มันพินาศไป

ที่นี้บารมีต่อไป สัจจบารมี เราตั้งใจไว้แล้วนี่ ว่าเราจะให้ทาน เราทำกิจการงานทั้งหมดเพื่อจะรวบรวมทรัพย์สินบริจาคทาน เพื่อหวังพระนิพพาน เพื่อหวังสวรรค์ เพื่อหวังพรหม เพื่อหวังความเป็นมนุษย์ที่ร่ำรวย เราก็ต้องให้จนได้ เราจะไม่ยอมเสียสัจจะความจริงใจ เอาเข้าแล้ว นี่การให้ทานตัวเดียว ควบสัจจบารมีเข้าอีก

ต่อไป อธิษฐานบารมี ตัว ที่ตั้งใจไว้ว่า นี่เราจะต้องให้ทานเพื่อเป็นการทำลายความโลภให้หมดไปจากใจ คือว่าเราจะให้ทานเพื่อความอยู่เป็นสุขในชาติปัจจุบัน หรือว่าเราจะให้ทานเพื่อความปรารถนาว่า ผลของทานนี้นั้นสามารถจะส่งผลให้ไปสวรรค์ได้ ตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงกล่าวว่า ทานัง สุคคโส ปาณัง ทานย่อมเป็นบันไดให้ไปสวรรค์ นี่เราตั้งจิตอธิษฐานไว้แล้วว่าคุณธรรมทั้ง ๓ ประการ คือ

๑. เกิดเป็นมนุษย์ที่มีความร่ำรวย ๒. เกิดเป็นเทวดา ๓. เข้าพระนิพพาน เราตั้งจิตอธิษฐานไว้แล้ว เกิดมาชาตินี้ต้องจับเอาจุดนี้ให้ได้ จุดใดจุดหนึ่งที่เราต้องการ เมื่อจิตอธิษฐานตั้งใจไว้จริง ๆ ปักหลักให้ตรงเป๋ง อย่างนี้มันจึงจะให้ทานได้

ถ้ากำลังใจของเราไม่มี คือที่คิดแล้วมันมีความโลเลไม่ตั้งจิตตรงไว้ในกาลก่อนว่าปรารถนาในการให้ทาน ผลของทานมักจะกลายเป็นทานอะไรล่ะ เป็น ศรัทธาหัวเต่า ผลุบเข้าผลุบออกดึงออกมาแล้วก็กลับยัดเข้าไปใหม่ นี่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย การให้ทานตัวเดียวอธิษฐานบารมีก็วิ่งเข้ามาอีก เหลือตัวเดียว คือ อุเบกขาบารมี อุเบิกขาบารมีตัวนี้จะเข้ามาสนับสนุนตรงไหน ก็ตรงที่ให้ไปแล้วซิบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าความขัดข้องใจอะไรมันเกิดขึ้น เช่น เงินเรามีอยู่ ๕๐๐ บาท เราให้ทานไปเสีย ๒๐ บาท มันเหลือ ๔๘๐ บาท ทีนี้มีกิจที่จะพึงต้องทำ มันเกิดขึ้นมาโดยไม่ได้คิดไว้เกิดมีความจำเป็นจะต้องใช้เงินสัก ๕๐๐ บาท แต่ว่าจิตของเรานี้เชื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถว่า ทานเป็นผลของความสุข เดือดร้อนมันก็เกิดขึ้นแล้วซิ สตางค์ ๒๐ บาทนี่มันไม่พอดีนี่ ถ้าเราไม่ให้ทานไปเสียเราก็มีจ่ายพอดี แต่นี่บังเอิญกิจนี้มันมาทีหลัง คิดให้ทานไปเสียก่อน แต่เราเชื่อองค์สมเด็จพระชินวร คิดว่า ช่างมันเถอะ ความลำบากเพียงแค่ ๒๐ บาท ไม่เป็นไร ไหน ๆ เราก็ตั้งใจไว้แล้ว ความทุกข์ร้อนนิดหน่อยมันจะเป็นไรไป เพราะผลที่เราให้ไปมันมีประโยชน์มากกว่านั้น คือ

ถ้าบุญบารมีของเรายังอ่อน จะต้องเร่ร่อนไปในวัฏสงสารเราก็จะเกิดเป็นมนุษย์ที่มีความบริบูรณ์สมบูรณ์ ได้ ถ้าบารมีของเรามีขึ้นหน่อยแล้วไซร้ เราก็สามารถจะไปเกิดบนสวรรค์ได้

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พูดเรื่องของทานวันนี้ ก็ขอยุติแต่เพียงนี้

วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ธรรมะกับทำไม

วันนี้ยังเป็นวันที่ศึกษาเรื่องของการใช้งานบล๊อกอยู่ครับ
เพิ่งจะได้เข้ามาลองใช้งานดู ยังทำไม่ค่อยจะเป็นครับ
เพราะผมไม่ค่อยจะเก่งเรื่องของคอมและศัพย์ต่างๆของบล๊อก

พอดีว่าตอนนี้ฝนตกหนักมากๆ
วันนี้ฝนตกตั้งแต่ช่วงเช้าแล้วครับ
ก็เลยมีคำถามขึ้นมาในใจว่า ทำไม

แล้วทำไมไปเกี่ยวกับธรรมะตรงไหน
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผมว่าท่านทั้งหลายคงจะงงงงกันแล้วแน่ๆ
ถ้างั้นผมว่าหลายๆท่านคงเคยได้ยินคำถามที่ว่า

ทำไมผมทำอะไรๆก็ไม่ประสพความสำเร็จ
ทั้งๆที่ผมก็ไม่เคยไปทำอะไรคนอื่น
บุญผมก็ทำเป็นประจำ ถ้ามีใครมาบอกบุญเป็นได้ใส่ซองร่วมบุญกับเค้าไปบ่อยๆ
มันเป็นเวรเป็นกรรมอะไรทำอะไรก็มีแต่จมกับเจ้ง

นี่ไงครับตอนนี้ไงที่เรื่องราวจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับธรรมะแล้วครับ
เพราะผมก็เคยเป็นแบบนั้นเหมือนกันครับ
หลังจากที่ได้ศึกษาและอ่านหนังสือต่างๆที่เกี่ยวกับธรรมะมานานมาก
และชีวิตที่เกิดมาก็นานพอควรจนคาดว่าน่าจะเกินครึ่งของอายุขัยแล้ว
ก็พอจะมีประสพการณ์และได้รับทราบความคิดเห็นต่างๆมามากพอควร
พอที่จะสรุปเป็นเรื่องราวให้ทุกท่านได้ลองอ่านดู

ทำไมทำบุญแล้วแต่ไม่เห็นมีอะไรดีๆเกิดขึ้นเลย
ถ้าผมจะบอกว่าที่ไม่ดีขึ้นนั้นมันก็มีมาจากหลายๆสาเหตุครับ
1.ทำบุญไม่ถูกต้องกับสิ่งที่เราต้องการ
2.ขณะทำบุญไม่ได้อยากทำ แต่ทำไปเพราะขัดไม่ได้
3.ยังไม่ถึงเวลาของการสนองในผลบุญที่ได้ทำไปแล้ว
4.เป็นเรื่องของเจ้ากรรมนายเวรที่มาขัดขวาง
เอาแค่4ข้อพอแล้วครับ

ผมจะขยายความให้ดูแบบว่าเอาพอเข้าใจก็แล้วกันครับ
1.ทำบุญไม่ถูกต้องกับสิ่งที่เราต้องการ เพราะการทำบุญมีหลายแบบเช่น ถวายสังฆทาน สร้างวิหารหรือสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ให้เงินแก่ขอทาน นำอาหารไปเลี้ยงคนชราหรือเด็กที่สถานสงเคราะห์ ตักบาตร แจกหนังสือธรรมะ บริจาคเงินเพื่อสงฆ์อาพาธ
เห็นหรือไม่ว่าการทำบุญมีหลากหลายรูปแบบ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าบุญที่ทำไปจะย้อนกลับมาสนับสนุนส่งเสริมท่านในเรื่องของอะไร ผมเชื่อว่าคงมีหลายๆคนที่ยังไม่รู้แน่นอนครับ ผมไม่ใช่คนที่อวดรู้หรืออวดตัวว่ารู้มากแต่ที่รู้ก็ได้มาจากหนังสือที่ซื้อมาอ่านครับ ซึ่งท่านผู้เขียนก็บอกไว้ว่าเอามาจากพระไตรปิฏกครับ
ผมยกตัวอย่างง่ายๆก่อนว่า ถ้าเกี่ยวเนื่องกับอาการป่วยไข้แล้วนั้นให้ไปทำเกี่ยวกับสงฆ์อาพาธครับเพราะป่วยเหมือนกันหรือปล่อยปลาก็ได้ครับเพราะเป็นการช่วยชีวิตสัตว์เป็นการต่อชีวิตเรา แล้วก็ถ้าต้องการเกี่ยวกับความสำเร็จในหน้าที่การงานให้ทำทานมากๆครับ
2.ขณะทำบุญไม่ได้อยากทำ แต่ทำไปเพราะขัดไม่ได้ ข้อนี้ผมว่าหลายท่านก็คงจะเข้าใจถ้าท่านไม่ได้ทำจากเบื้องลึกจากจิตใจที่ศรัทธาอย่างแท้จริง(คำนี้เอามาจากคุณศศิผู้เขียนหนังสือ ปาฏิหาริย์ แรงบุญ แรงกรรม ใครว่าไม่มีจริง) แล้วก็คงไม่บังเกิดผลอะไรแน่นอนครับ เสมือนกับทำไปแล้วแต่ก็เหมือนกับไม่ได้ทำนั่นแหละครับ
3.ยังไม่ถึงเวลาของการสนองในผลบุญที่ได้ทำไปแล้ว
4.เป็นเรื่องของเจ้ากรรมนายเวรที่มาขัดขวาง
ทั้ง2ข้อนี้ถ้าจะอธิบายต้องไปด้วยกันครับ เพราะบางครั้งอาจจะเกิดจากผลของกรรมที่ได้ทำมาแล้วตั้งแต่ครั้งอดีตชาติมาสนองและขัดขวางการทำงานต่างๆ ทำให้มีแต่อุปสรรคเกิดขึ้น สำหรับบางท่านเกิดมาในชาตินี้ทำแต่ความดี แต่ไม่รู้ว่าชาติก่อนตัวเองได้สร้างอกุศลกรรมอะไรไว้บ้างและทำมาแล้วกี่ชาติ เพราะฉนั้นถ้ายังไม่สำเร็จอะไรก็ให้ทำใจยอมรับในผลกรรมนั้นและเพียรเร่งสร้างกุศลกรรมให้มากเข้าไว้เพื่อให้กุศลกรรมนั้นมีน้ำหนักมากๆจะได้ไปข่มอกุศลกรรมไว้ก่อนเพื่อที่จะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาบ้างไม่มากก็คงไม่น้อยหรอกครับ
วันนี้เอาแค่นี้ก่อนครับ สำหรับบทความของผม ถ้าผิดพลาดประการใดก็ต้องขออภัยท่านผู้อ่านทุกท่านด้วยนะครับ

ค้นหาและตามดู

สวัสดีครับทุกๆท่าน
วันนี้เป็นวันแรกที่ผมได้เข้ามาศึกษาและดูวิธีการในการสร้างบล๊อกเพื่อเอาบันทึกเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาและมีการใส่บทความต่างๆที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ไว้บ้างซึ่งน่าจะเกี่ยวกับบทความทางธรรม
หรือมีการแนะนำถึงธุรกิจที่ทำอยู่และแนะนำถึงสินค้าที่เกี่ยวกับอาหารเสริมที่ผมทำเป็นธุรกิจอยู่ครับ เพราะว่าบางท่านอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ หรือคุณผู้หญิงต้องการรับประทานอาหารเสริมเพื่อบำรุงความสวยเพิ่มความงามก็สามารถสอบถามได้ครับ
ส่วนบทความต่างๆที่ได้มาเขียนไว้ที่นี่ ก็คงได้มาจากการอ่านหนังสือที่ผ่านมาและคิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับบุคคลอื่นบ้างไม่มากก็น้อยครับ
และเรื่องราวอื่นๆเท่าที่จะมีและมีเวลามาเขียนครับ
ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่อมชมครับ